2558
วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557
แมวดาว
แมวดาวเป็นแมวป่าที่พบได้ง่ายที่สุดในเมืองไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีขนาดเล็กใกล้เคียงแมวบ้าน แต่ขายาวกว่าเล็กน้อย มีลายจุดทั่วทั้งตัว สีลำตัวต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ มีตั้งแต่สีเทาซีด น้ำตาล เหลืองทอง จนถึงสีแดง ด้านใต้ลำตัวสีขาว จุดข้างลำตัวเป็นจุดทึบหรือเป็นดอก ส่วนบริเวณขาและหางเป็นจุดทึบ มีเส้นดำหลายเส้นพาดขนานกันตั้งแต่หน้าผากจนถึงท้ายทอยและเริ่มขาดท่อนกลายเป็นจุดรี ๆ ที่บริเวณหัวไหล่ บางตัวมีเส้นยาวนี้พาดยาวตลอดแนวสันหลัง มีแถบสีขาว 2 แถบและแถบดำ 4 แถบพาดจากหัวตาไปที่หู ขนมีความยาวต่างกันตามเขตที่อยู่ พันธุ์ที่อาศัยอยู่ทางเหนือจะมีขนยาวและแน่นกว่าพันธุ์ที่อยู่ทางใต้ หัวค่อนข้างเล็ก กรวยปากแคบและสั้น คางสีขาว มีแต้มสีขาวที่มีแถบสีดำแคบ ๆ ล้อมรอบที่บริเวณแก้ม ม่านตาลึก หูยาวและมน ขอบหูดำและกลางหลังหูสีขาว หางด้านบนมีลายจุด ปลายหางสีเนื้อ ส่วนใกล้ปลายหางเป็นปล้องที่ไม่ชัดนัก แมวดาวตัแมวดาวเป็นแมวป่าในเอเชียที่มีเขตกระจายพันธุ์กว้างขวางที่สุดชนิดหนึ่ง พบใน 21 ประเทศตั้งแต่ตะวันตกของปากีสถาน ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงตะวันออกของเกาะชวา บอร์เนียว และกลางหมู่เกาะฟิลิปปินส์ และเหนือสุดถึงแมนจูเรียวผู้ใหญ่กว่าตัวเมีย
เขียนโดย วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
หมูป่า
หมูป่า เป็นสัตว์ชนิดเดียวกับหมูบ้านที่นิยมเลี้ยงกันทั่วโลกเพื่อบริโภคเนื้อ มีหลักฐานว่าในเมืองไทย มนุษย์เริ่มเลี้ยงหมูตั้งแต่ 10,000 ปีก่อนคริสต์กาล ส่วนในลุ่มแม่น้ำไทกริส มีหลักฐานว่ามนุษย์เลี้ยงหมูมาตั้งแต่ 13,000 ปีก่อนคริสต์กาลแล้ว
หมูป่ามีความยาวหัว-ลำตัว 90-180 เซนติเมตร หางยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ความสูงหัวไหล่ประมาณ 55-110 เซนติเมตร น้ำหนัก 50-350 กิโลกรัม ส่วนหมูเลี้ยงอาจมีน้ำหนักได้มากถึง 450 กิโลกรัม ผิวสีดำหรือเทาเข้ม มีขนขึ้นจาง ๆ ทั่วทั้งตัว ขนมันวาวสีดำหรือน้ำตาล ขนบริเวณสันหลังยาวเป็นพิเศษ หมูตัวผู้ใหญ่กว่าตัวเมีย หมูป่ามีเขี้ยวสี่เขี้ยวที่งอกยาวตลอดชีวิต ตัวเมียมีหัวนม 12 หัว ระบบย่อยอาหารของหมูไม่ซับซ้อนมากเท่าของสัตว์กีบชนิดอื่น มีกระเพาะสองถุง ไม่เคี้ยวเอื้อง
หมูป่า เป็นหมูที่มีเขตกระจายพันธุ์กว้างที่สุดในโลก พบได้ตั้งแต่ยุโรป แอฟริกาเหนือ จนถึงเอเชีย รวมถึงหมู่เกาะต่าง ๆ เช่น บริติชไอเอล หมู่เกาะคอร์ซิกา ซาร์ดิเนีย ญี่ปุ่น ศรีลังกา หมู่เกาะริวกิว ไต้หวัน ไหหลำ สุมาตรา ชวา และอีกหลายเกาะในอินดีสตะวันออก นอกจากนี้ยังมีประชากรที่เกิดจากการที่มนุษย์นำเข้าไปเลี้ยงในดินแดนอื่นซึ่งพบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะที่อเมริกาและออสเตรเลีย
ในธรรมชาติหมูป่าชอบอาศัยในป่าชื้น ชอบตีแปลงและคลุกโคลน เพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายและเพื่อป้องกันแมลงรบกวน บางครั้งอาจเกลือกปัสสาวะของตัวเองเพื่อลดอุณหภูมิร่างกาย หมูป่าไวต่ออุณหภูมิแวดล้อมมาก อากาศที่ร้อนเกินไปอาจทำให้หมูป่าเป็นลมแดดได้
หมูป่าในยุโรปอาศัยกันเป็นฝูงขนาดใหญ่ ราว 20 ตัว บางฝูงอาจมีสมาชิกมากถึง 100 ตัว สมาชิกในฝูงประกอบด้วยหมูตัวเมียและหมูเด็ก เมื่อหมูตัวผู้เติบใหญ่ จะแยกตัวออกจากฝูงไปหากินโดยลำพัง
ส่วนใหญ่หากินเวลากลางคืน พื้นที่หากินของตัวผู้จะกว้างกว่าของตัวเมียราวสองเท่า หมูป่ามีจมูกไวมาก ประสาทรับรสก็พัฒนาเป็นพิเศษ แต่สายตาไม่ดีนัก อาหารส่วนใหญ่ของหมูป่าคือพืช แต่ความจริงหมูป่ากินอาหารแทบไม่เลือกสมกับเป็นหมู ตั้งแต่เห็ด หัวพืช เมล็ดพืช ผลไม้ ไข่ สัตว์เลื้อยคลาน ซากสัตว์ หรือแม้แต่ปุ๋ยคอก
หมูป่าว่องไวมากไม่อุ้ยอ้ายเหมือนหมูบ้าน วิ่งได้เร็วและหักเลี้ยวเป็นมุมแคบ ๆ ได้ และไวพอที่จะจับงูกินได้
ประชากรหมูป่าในเขตกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติมีความสำคัญต่อระบบนิเวศหลายอย่าง เป็นผู้พรวนดินธรรมชาติ เป็นการเปิดนำพื้นที่สำหรับต้นไม้รุ่นใหม่ในป่า เป็นผู้แพร่กระจายเมล็ดพันธุ์พืช ลูกหมูก็เป็นอาหารสำคัญของสัตว์ผู้ล่าหลายชนิด แต่สำหรับพื้นที่ที่ไม่ใช่เขตกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ หมูป่ากลับเป็นตัวก่อปัญหานานาชนิด เพราะมันรุกรานหมูพันธุ์ท้องถิ่นอย่างหมูเพกคารี ทำลายพืชไร่ และยังไปจับสัตว์พื้นเมืองกินเป็นอาหาร นอกจากนี้ก็อาจทำร้ายคนด้วย
หมูจัดเป็นสัตว์ที่ฉลาดมากชนิดหนึ่ง บางทีอาจฉลาดกว่าหมาก็ได้ เคยมีผู้ฝึกละครสัตว์ฝึกให้หมูกระโดดลอดห่วงไฟ เดินบนเชือก หรือแม้แต่ถอดสลักกลอนประตูได้ เคยมีนักจิตวิทยาใช้หมูเป็นสัตว์ทดลอง แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็นหมาแทนด้วยเหตุผลว่าหมาควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่า
เขี้ยวของเป็นอาวุธสำคัญที่หมูป่าใช้ในการป้องกันตัว ตัวผู้สามารถลับเขี้ยวให้คมด้วยการขบเขี้ยวบนกับเขี้ยวล่างด้วยกัน อย่างไรก็ตาม จากคำบอกเล่า เมื่อหมูป่าจะทำร้ายคน จะโจมตีด้วยกีบที่แข็งราวกับหินก่อน เมื่อคนล้มลงแล้วจึงค่อยซ้ำด้วยเขี้ยวที่แหลมคม
ในฤดูผสมพันธุ์ หมูป่าตัวผู้จะต่อสู้กันอย่างดุเดือดเพื่อแย่งตัวเมีย หมูป่าที่อยู่ในเขตอบอุ่นออกลูกในฤดูใบไม้ผลิ ส่วนพวกที่อยู่ในเขตร้อนจะไม่มีฤดูผสมพันธุ์ที่ชัดเจน จึงออกลูกได้ตลอดทั้งปี แม่หมูเป็นสัดนานประมาณ 21 วัน มีช่วงเวลาตั้งท้องนาน 115 วัน ออกลูกคราวละ 1-12 ตัว ส่วนใหญ่มักอยู่ในช่วง 4-8 ตัว ลูกหมูมีลายคล้ายแตงไทย ลายนี้จะเริ่มเลือนหายไปเมื่ออายุได้ 5-6 เดือน ลูกหมูหย่านมเมื่ออายุได้ 3-4 เดือน แม้ลูกหมูวัยรุ่นเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ได้เมื่ออายุ 8-10 เดือน แต่หมูสาวมักผสมพันธุ์ครั้งแรกเมื่ออายุ 18 เดือน ส่วนหมูหนุ่มต้องรอไปอีกจนแก่กล้าพอที่จะต่อสู้เพื่อแย่งชิงตัวเมียได้ ซึ่งอาจต้องรอถึงปีที่ 5 เมื่อใกล้จะออกลูก แม่หมูจะทำ "ซุ้มหมู" ขึ้จากต้นหญ้า เพื่อใช้เป็นรังเลี้ยงลูก ลูกหมูจะยังอยู่ในซุ้มอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง แม่หมูจะหวงลูกมาก แม้กระนั้นจะมีลูกหมูเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่อยู่รอดไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่ต้องตกไปเป็นเหยื่อของสัตว์กินเนื้อชนิดอื่นหรือตายโดยโรค แม่หมูจะดูแลลูกจนอายุได้ราวเกือบ 1 ขวบจึงปล่อยให้แยกออกไปหากินด้วยตัวเอง
ในธรรมชาติหมูป่ามีอายุขัยเฉลี่ย 10 ปี แต่เคยพบอายุยืนที่สุดถึง 27 ปี
ศัตรูสำคัญที่สุดของหมูป่าก็คือคน ศัตรูในธรรมชาติได้แก่เสือ หมี จระเข้ หมูป่าที่ตกใจหรือบาดเจ็บจะดุร้ายมาก
หมูป่ายังเป็นสัตว์ที่มีจำนวนประชากรอยู่มาก ไอยูซีเอ็นประเมินสถานภาพประชากรหมูป่าไว้ว่า มีความเสี่ยงน้อย (LC) ในประเทศไทยก็ไม่เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง อย่างไรก็ตามในบางพื้นที่ที่เคยมีหมูป่าอยู่ ปัจจุบันได้สูญพันธุ์ไปแล้ว เช่น ในบริติชไอเอล (ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17) สแกนดิเนเวียตอนใต้ และแอฟริกาตอนเหนือ แม้ในปัจจุบันหมูป่าในบางพื้นที่ก็ถูกคุกคามอย่างมาก เช่นในเกาะริวกิวของญี่ปุ่น ซึ่งหมูในเกาะนี้เป็นชนิดย่อย S. s. riukiuanus ชาวบ้านที่นี่ถือว่าหมูป่าเป็นสัตว์รบกวน และรัฐบาลก็สนับสนุนให้ชาวบ้านล่าหมูป่าด้วย
เขียนโดย วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
นกกระเรียน
นกกระเรียน เป็นนกในตระกูลนกกระเรียนที่สูงที่สุด และเป็นนกบินได้ที่สูงที่สุดในโลก มีความสูงถึง 176 เซนติเมตร หนัก 6.35 กิโลกรัม ปีกกว้าง 240 เซนติเมตร ลำตัวสีเทาอ่อน กระหม่อมไม่มีขน มีหนังเปลือยเปล่าสีอมเขียว ส่วนคอและใบหน้าเปลือยเปล่า หนังขุขระสีแดงหรือส้ม ที่หูมีกระจุกขนสีขาวอมเทาขนาดเล็ก
นกกระเรียนพันธุ์อินเดีย (G. a. antigone) มีขนรอบคอสีขาว ขาและนิ้วสีแดง ตัวผู้และตัวเมียลักษณะเกือบเหมือนกัน ตัวเมียเล็กกว่าเล็กน้อย พันธุ์อินเดียกระจายพันธุ์อยู่ในที่ราบทางเหนือ ตะวันตกเฉียงเหนือ และตะวันตกของประเทศอินเดีย และทางตะวันตกของที่ราบต่ำทีไร (Terai) ในประเทศเนปาล พบบ้างในประเทศปากีสถาน นกกระเรียนที่พบในประเทศไทยคือนกกระเรียนพันธุ์ตะวันออก (G. a. sharpii) เคยอาศัยอยู่ทั่วไปในคาบสุมทรอินโดจีน แต่ในช่วงห้าสิบปีที่ผ่านมาจำนวนได้ลดลงอย่างมาก ปัจจุบันเหลืออยู่บ้างในประเทศพม่า เวียดนาม และกัมพูชา ส่วนในมณฑลยูนนานของประเทศจีนและประเทศลาวอาจเหลือน้อยมากหรืออาจหมดไปแล้ว ส่วนในประเทศไทยได้สูญพันธุ์ไปแล้วตั้งแต่กลางทศวรรษที่ 20 แล้ว นกกระเรียนอีกพันธุ์หนึ่งคือนกกระเรียนพันธุ์ออสเตรเลีย (G. a. gilli) อาศัยอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย
นกกระเรียนอาศัยอยู่ในพื้นที่หลายประเภท แต่พื้นที่ที่ชอบที่สุดได้แก่หนองน้ำขนาดเล็กที่มีเฉพาะฤดูกาล พื้นที่ราบที่ถูกน้ำท่วม พื้นที่ชุ่มน้ำที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลมาก ไร่ที่เพิ่งไถ และทุ่งนา ชอบกินหัวพืชใต้ดิน และกินสัตว์ขนาดเล็กด้วย
ในประเทศอินเดีย นกกระเรียนส่วนใหญ่เป็นนกประจำถิ่น แต่นกกระเรียนในอินโดจีนและออสเตรเลียอาจมีการย้ายถิ่นตามฤดูกาล นกกระเรียนอินเดียค่อนข้างปรับตัวเข้ากับชุมชนได้ดี นกกระเรียนพันธุ์ไทยที่อยู่ในบางส่วนของประเทศพม่าก็ปรับตัวเข้ากับชุมชนได้ดีเช่นกัน
การเกี้ยวพาราสีของนกกระเรียนน่าชมและน่าฟังมาก นกกระเรียนทุกชนิดจะขับร้องเพลงเป็นเพลงเสียงประสาน น้ำเสียงของตัวผู้และตัวเมียต่างกันแต่ร้องในทำนองเดียวกันและประสานกันอย่างพร้อมเพรียง ทั้งคู่จะทำท่าทางเหมือนเต้นรำโดยแอ่นคอโค้งไปด้านหลังจนปากชี้ฟ้าและส่งเสียงร้อง ขณะเต้นรำตัวผู้จะเหยียดปีกลู่ไปด้านหลัง ส่วนตัวเมียจะเก็บปีกไว้เสมอ นอกจากการเต้นรำแล้วนกกระเรียนอาจแสดงกริยาอย่างอื่นอีกเช่น กระโดด วิ่ง ก้มหัว จิกหรือพุ้ยหญ้า และกระพือปีก
สถานที่ทำรังของนกกระเรียนมีหลายที่ เช่น ข้างลำคลอง กลางทุ่งนา บางครั้งทำรังอยู่บนที่น้ำตื้นที่มีพืชน้ำโผล่พ้นน้ำขึ้นมา ในอินเดียนกกระเรียนทำรังด้วยต้นข้าวในทุ่งนาที่มีน้ำท่วมขัง
แม่นกมักวางไข่ครั้งละ 2 ฟอง ทั้งพ่อและแม่นกจะช่วยกันกกไข่เป็นเวลาประมาณ 31-34 วัน ระหว่างนี้ตัวผู้มักต้องรับบทเป็นผู้ปกป้องรังจากอันตรายรอบด้านด้วย ลูกนกจะเริ่มบินได้เมื่ออายุได้ 50-65 วัน
ภัยหลักที่คุกคามนกกระเรียนคือการที่พื้นที่ชุ่มน้ำถูกทำลาย การลักลอบจับลูกนกไปขายก็ทำให้จำนวนของนกกระเรียนลดลง ปัจจุบันคาดว่าจำนวนประชากรนกกระเรียนในโลกอยู่ในช่วง 15,500-20,000 ตัว มีแนวโน้มลดลงและเสี่ยงสูญพันธุ์ ไซเตสจัดนกกระเรียนไว้ในบัญชีหมายเลขสอง เป็นหนึ่งใน 15 สัตว์ป่าสงวนของไทย
เขียนโดย วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com) เผยแพร่ : 6 ธ.ค. 50
กระแต
กระแตดูเผิน ๆ คล้ายกระรอก แต่ไม่ใช่กระรอก และไม่ใช่สัตว์ฟันแทะ ในอดีตนักวิทยาศาสตร์เคยเข้าใจว่ากระแตเป็นสัตว์จำพวกวานรหรือสัตว์กินแมลงดึกดำบรรพ์ แต่ในปัจจุบันกระแตจัดอยู่ในอันดับกระแต (order Scandentia) โดยเฉพาะ
กระแตมีปากยื่นยาวกว่ากระรอก มีฟันเล็กหลายซี่ ส่วนใหญ่หากินเวลากลางคืน กระแตในโลกมีทั้งสิ้น 19 ชนิด 5 สกุล ส่วนใหญ่อยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในประเทศไทยมี 5 ชนิด ได้แก่ กระแตเหนือ กระแตใต้ กระแตจิ๋ว กระแตหางหนู กระแตหางขนนก
ชื่อไทย กระแต
ชื่อวิทยาศาสตร์
ชั้น
อันดับ
วงศ์
สกุล
ชื่ออื่น อังกฤษ : Treeshrew
สถานภาพการคุ้มครอง
ชื่อไทย | กระแต |
ชื่อวิทยาศาสตร์ | |
ชั้น | |
อันดับ | |
วงศ์ | |
สกุล | |
ชื่ออื่น | อังกฤษ : Treeshrew |
สถานภาพการคุ้มครอง |
เขียนโดย วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
ค่างหงอก
ค่างหงอกเป็นค่างขนาดเล็ก มีสีเทา สีขนอาจมีความหลากหลายตั้งแต่สีน้ำตาล เทา จนถึงดำ บางตัวอาจมีสีต่างไปโดยสิ้นเชิง เช่นที่สีแดงซึ่งพบในบอร์เนียว แต่ไม่ว่าจะมีสีพื้นอะไรก็จะมีขนบางส่วนที่เป็นสีเทาอ่อน ทำให้ดูวาวเหมือนสีเงิน ขาและแขนสีดำ ยึดจับได้ดี ตัวผู้และตัวเมียรูปร่างคล้ายกันมาก ความแตกต่างระหว่างเพศที่พอจะสังเกตได้ก็คือแต้มสีขาวที่สีข้างของตัวเมีย และตัวผู้ออกจะใหญ่กว่าตัวเมียเล็กน้อย หนักเฉลี่ย 7.1 กิโลกรัม ลำตัวยาว 52.4-56 เซนติเมตร ส่วนตัวเมียหนัก 6.2 กิโลกรัม ยาว 46.5-49.6 เซนติเมตร หางยาว 63-84 เซนติเมตร
ค่างหงอกพบได้ทั่วเอเชียตะนออกเฉียงใต้ ทั้งบนแผ่นดินใหญ่และเกาะบอร์เนียว สุมาตรา ชวา และหมู่เกาะนาทูนา (ชนิดย่อย T. c. vigilans)
เช่นเดียวกับค่างในวงค์ย่อย Colobinae ทุกชนิด ค่างหงอกชอบอยู่ในป่าทึบ แต่ในบางพื้นที่ก็อาจปรับตัวให้เข้ากับป่าประเภทอื่นได้ เช่นค่างหงอกในชวาและสุมาตราอาศัยอยู่บนต้นไม้ในป่าลึก ในขณะที่ค่างหงอกในคาบสมุทรมลายูอาศัยอยู่ในป่าชายเลนหรือป่าใกล้ชายฝั่ง บางครั้งอาจพบได้ในป่าไผ่หรือป่าบึงด้วย
ค่างหงอกหากินเวลากลางวัน กินใบไม้อ่อนเป็นอาหารหลัก นอกจากนี้ยังมี ผลไม้ เมล็ดพืช หน่อ ดอก ในพุงจะป่องและเต็มไปด้วยแบคทีเรียเพื่อหมักใบไม้ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องป่องเพื่อเก็บใบไม้จำนวนมากได้ ทั้งนี้เนื่องจากอาหารที่ค่างกินเป็นอาหารที่ให้พลังงานต่ำ
ค่างหงอกอาศัยอยู่บนต้นไม้เป็นหลัก ลงพื้นดินไม่บ่อยนัก และหากรู้สึกถึงอันตราย ก็จะรีบกลับขึ้นไปบนต้นไม้ทันที ฝูงค่างประกอบด้วยตัวเมีย 9-48 ตัว มีแหล่งหากินเฉพาะที่ ขี้อายมาก ไม่ชอบอยู่ใกล้คน ฝูงปกติของค่างหงอกมักมีตัวผู้เป็นหัวหน้าฝูงตัวเดียว ต่อสู้ปกป้องฝูงและครอบครองตัวเมียในฝูงได้หลายตัว บางฝูงอาจเป็นฝูงชายล้วน หรือตัวผู้บางตัวก็หากินโดยลำพังไม่เข้าฝูง บางครั้งตัวผู้ในฝูงชายล้วนหรือตัวผู้อิสระก็อาจมีการท้าทายแย่งชิงตำแหน่งจากตัวผู้หัวหน้าฝูงที่ครอบครองตัวเมียก็ได้ หากผู้ท้าชิงเป็นฝ่ายชนะ ก็จะได้ครอบครองฝูงแทน ในกรณีนี้เด็กอ่อนในฝูงมักถูกฆ่าตาย
แม้ค่างหงอกเป็นสัตว์รักสงบ บางครั้งก็อาจมีการวิวาทระหว่างฝูงในการแย่งชิงดินแดนบ้าง ส่วนใหญ่การวิวาทนั้นก็จะลงเอยด้วยการต่างฝ่ายต่างอยู่ในฐานะบ้านใกล้เรือนเคียง การกระทบกระทั่งภายในฝูงก็อาจมีได้เช่นกัน ซึ่งอาจมีสาเหตุจากเรื่องผัว ๆ เมีย ๆ ส่วนการอาศัยร่วมกับสัตว์ชนิดอื่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับค่างหงอก เคยมีการพบค่างหงอกหากินร่วมกับลิงแสมด้วย พื้นที่หากินฝูงหนึ่งเฉลี่ยประมาณ 43 เฮกแตร์
ตัวเมียในฝูงเดียวกันมักช่วยกันดูแลเด็ก ๆ ในฝูง รวมถึงยอมให้ลูกตัวอื่นดูดนมตัวเองด้วย
ค่างหงอกไม่มีฤดูกาลผสมพันธุ์ที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามอัตราเกิดมักสูงสุดราวเดือนธันวาคมถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ แม่ค่างตั้งท้องนาน 6-7 เดือน คาบการเป็นสัด 24 วัน ตัวเมียมักให้กำเนิดมากกว่าหนึ่งครั้งในแต่ละปี บางครั้งอาจออกลูกแฝดได้แต่เกิดขึ้นได้ยาก ค่างแรกเกิดตัวยาว 20 เซนติเมตร หนัก 0.4 กิโลกรัม ขนตามลำตัวมีสีส้ม ส่วนหัวมือ ตีน และหน้าสีขาว สีขนจะเปลี่ยนไปเป็นสีดำแบบผู้ใหญ่ภายในเวลา 3-5 เดือน เมื่ออายุได้ 5 ปี ก็จะตัวเท่าผู้ใหญ่แล้ว ตัวผู้ถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 4 ปี ตัวเมียถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุอยู่ระหว่าง 4-5 ปี
ในแหล่งเพาะเลี้ยง ค่างหงอกมีอายุได้ถึง 29 ปี แต่ในธรรมชาติมักมีอายุได้ราว 20 ปี
ไอยูซีเอ็นประเมินว่ามีสถานภาพใกล้ถูกคุกคาม (2551) ไซเตสจัดค่างหงอกไว้ในบัญชีหมายเลข 2 ไทยจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
เขียนโดย วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
กระเล็นขนปลายหูยาว
เป็นกระรอกขนาดเล็กที่สุดในประเทศไทย เล็กกว่ากระเล็นขนปลายหูสั้นเล็กน้อย ความยาวหัว-ลำตัว 10.5-12 เซนติเมตร หางยาวประมาณ 12 เซนติเมตร ขนหางสั้นและเรียบติดหนังไม่ฟูเป็นพวงอย่างกระรอกทั่วไป ปลายหูสีขาว ลำตัวสีน้ำตาลอมเทา หลังมีลายแถบขนานกันไปตามแนวสันหลังสีเหลืองหรือสีครีมสลับดำ สีดำ 5 แถบ สีครีม 4 แถบ แถบสีครีมด้านนอกสุดพาดยาวตั้งแต่จมูกไปจนจรดโคนหาง แถบนอกสุดมีความกว้างและสีใกล้เคียงกับแถบบใน ซึ่งต่างจากแถบของกระเล็นขนปลายหูยาวที่แถบนอกจะกว้างกว่า กระหม่อมสีเทาแกมเขียว ท้องสีเหลืองอ่อนแกมส้ม หางมีจุดประสีเทา น้ำตาล และดำ ลายของกระเล็นจะดูคล้ายกับชิปมังก์ (Tamias sp.) ตัวเมียมีหัวนม 6 เต้า
กระเล็นขนปลายหูสั้นชอบป่าดิบชื้น ป่าดิบเขาระดับต่ำ และป่าเบญจพรรณ พบในประเทศกัมพูชา ลาว เวียดนาม และไทย ในประเทศไทยพบในป่าภาคตะวันออก อีสานตอนใต้บริเวณป่าชายแดนไทย-กัมพูชา และที่จังหวัดชัยภูมิ
มักหากินตัวเดียว หรืออาจเป็นกลุ่มที่เป็นครอบครัวเดียวกัน หากินตอนกลางวันบนต้นไม้ตามเรือนยอดชั้นกลางและชั้นชน กินผลไม้ เมล็ดพืช ใบไม้ และแมลงเป็นอาหาร กระโดดและวิ่งไปมาบนกิ่งไม้อย่างคล่องแคล่ว เสียงร้องมีสองแบบ แบบหนึ่งคือ จี้ด ๆ สั้น ๆ คล้ายนก แต่แหลมดังบาดหู และอีกแบบหนึ่งคือเสียงแหลมยาวสั่นระรัวที่ค่อย ๆ ผ่อนเสียงลง
เขียนโดย วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
ค้างคาว
ค้างคาวมีลักษณะตรงตามที่คำอุปมาที่คนไทยเรียกมาตั้งแต่โบราณว่า "นกมีหู หนูมีปีก" แต่ค้างคาวไม่ใช่หนู และไม่ใช่นก ค้างคาวเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมในอันดับ Chiroptera
มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมหลายชนิดนอกจากค้างคาวที่ใช้ชีวิตเหินหาวกลางอากาศได้ เช่น บ่าง กระรอกบิน แต่การเคลื่อนที่ของสัตว์เหล่านั้นเป็นการร่อน ส่วนการเคลื่อนที่ของค้างคาวเป็นการบิน นับเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมเพียงชนิดเดียวที่บินได้อย่างแท้จริง ปีกของค้างคาวคือพังผืดที่เชื่อมระหว่างนิ้ว กระดูกนิ้วที่ยืดยาวทำหน้าที่เป็นโครงปีก
ค้างคาวมีจำนวนชนิดพันธุ์หลากหลายมาก มีถึงราว 1,240 ชนิด หรือคิดเป็นหนึ่งในห้าของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมทั้งหมด
ค้างคาวมีเขตกระจายพันธุ์กว้างขวางไปทั่วโลก พบได้ในทุกทวีปยกเว้นแอนตาร์กติกา
ในระบบนิเวศ ค้างคาวมีบทบาทสำคัญมากในฐานะผู้ผสมละอองเกสร และผู้กระจายเมล็ดพันธุ์ พืชเขตร้อนหลายชนิดที่ต้องพึ่งพาค้างคาวเพียงอย่างเดียวในการแพร่พันธุ์ ค้างคาวยังเป็นผู้ควบคุมประชากรแมลงที่สำคัญอีกด้วย ค้างคาวราว 70 เปอร์เซ็นต์เป็นค้างคาวกินแมลง
ค้างคาวที่เล็กที่สุดในโลกคือค้างคาวกิตติ (Kitti's hog-nosed bat) มีน้ำหนักเพียง 2-3 กรัม ความกว้างปีกจากปลายปีกถึงปลายปีกเพียง 15 เซนติเมตร ส่วนค้างคาวที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือค้างคาวแม่ไก่ป่าฝน (Malayan flying fox) มีความกว้างปีก 1.5 เมตร หนักประมาณ 1 กิโลกรัม
เนื่องจากลำตัวของค้างคาวคล้ายหนู ชื่อเรียกค้างคาวในภาษาต่าง ๆ หลายภาษาจึงเกี่ยวข้องกับหนู เช่นภาษาฝรั่งเศส เรียก chauve-souris (หนูหัวล้าน) สเปนเรียก murciélago (หนูตาบอด) รัสเซียเรียก летучая мышь (หนูบิน), เอสโทเนียเรียก nahkhiir (หนูหนัง)
ค้างคาวมีสองกลุ่มใหญ่ ๆ ค้างคาวใหญ่ มีสายตาดี กินผลไม้ น้ำหวาน หรือเกสรดอกไม้ อีกชนิดคือ ค้างคาวเล็ก เป็นค้างคาวสายตาไม่ดี บางชนิดถึงกับตาบอด ส่วนใหญ่กินแมลง ยกเว้นบางชนิดที่กินสัตว์ใหญ่กว่านั้น เช่นกินปลา กบ หรือบางชนิดเป็นค้างคาวดูดเลือด
ความสามารถอย่างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของค้างคาวคือ มีระบบโซนาร์ค้นหาวัตถุ ความสามารถนี้มีในค้างคาวเล็ก ค้างคาวใหญ่เพียงบางชนิดที่มีความสามารถนี้
ในประเทศไทยมีค้างคาวประมาณ 120 ชนิด
เขียนโดย วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
หนูผีจิ๋ว เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมบนบกที่เล็กที่สุดในโลก ตัวเท่าแท่งดินสอกุด ๆ เท่านั้น ความยาวลำตัวตั้งแต่ปลายจมูกถึงโคนหางเพียง 60 มิลลิเมตร ส่วนหางยาวราว 40 มิลลิเมตร น้ำหนัก 2.5-6 กรัม มีจมูกไวมาก หางยาวและมีขนปกคลุมแน่น
มีเขตกระจายพันธุ์กว้างขวางครอบคลุมแผ่นดินของเอเชียและยุโรปเกือบทั้งหมด
เช่นเดียวกับหนูผีทั้งหลาย หนูผีจิ๋วต้องกินอาหารเป็นจำนวนมากในแต่ละวันเพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกาย กินแมลงเป็นอาหาร หากินทั้งกลางวันและกลางคืน และหากินโดยลำพัง อุปนิสัยก้าวร้าว แต่มักจะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากันมากกว่าจะสู้กันอย่างหนูผีธรรมดา (common shrew) ปกติหากินอยู่ภายในอาณาเขตประมาณ 1400-1700 ตารางเมตร แต่ในฤดูหนาวที่อาหารหายาก พื้นที่หากินจะกว้างกว่านี้
หนูผีจิ๋วทำรังอยู่ใต้พื้นดินหรือภายในพงหญ้า ตั้งท้องนาน 22-25 วัน ออกลูกครอกละ 4-7 ตัว ลูกหนูผีจิ๋วหย่านมเมื่ออายุได้ 22 วัน มีอายุขัยราว 16 เดือน
เขียนโดย วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
กวางม้า
กวางป่าเป็นกวางขนาดใหญ่ กวางตัวผู้ใหญ่ที่สุดอาจหนักได้ถึง 546 กิโลกรัม แต่ส่วนใหญ่หนัก 162-260 กิโลกรัม ความสูงที่หัวไหล่ 102-160 เซนติเมตร ขนตามลำตัวหยาบ มีสีน้ำตาลอ่อน บริเวณใต้ท้องและขาสีซีด เมื่อตกใจจะกระดกหางขึ้นลง ตัวผู้มักใหญ่กว่าตัวเมียและมีขนบริเวณคอหนากว่า กวางป่าตัวผู้เท่านั้นที่มีเขา เขาแต่ละข้างมี 3 หรือ 4 กิ่ง ผิวของเขาจะขรุขระคล้ายผลมะระแต่ละเอียดกว่า ผลัดเขาทุกปี เขากวางอาจยาวได้ถึง 1 เมตร บริเวณใต้ลำคอจะมีแผลเหมือนโรคผิวหนังเป็นดวง เรียกว่า "เรื้อนกวาง"
กวางป่าพันธุ์อินเดียซึ่งอยู่ในอินเดียและศรีลังกามีขนาดใหญ่ที่สุด รองลงมาคือพันธุ์จีนใต้ กวางป่าพันธุ์สุมาตราและบอร์เนียว มีสัดส่วนของเขาเทียบกับร่างกายเล็กที่สุด กวางป่าพันธุ์ฟอร์โมซันเป็นพันธุ์ที่มีร่างกายเล็กที่สุด มีสัดส่วนของเขาเทียบกับร่างกายใกล้เคียงกับกวางป่าพันธุ์จีนใต้
กวางป่ามีเขตกระจายพันธุ์อยู่ในในอินเดีย ปากีสถาน พม่า ไทย ศรีลังกา ฟิลิปินส์ จีนตอนใต้ ไต้หวัน มาเลเซีย บอร์เนียว สุมาตรา และชวา นอกจากนี้ยังมีประชากรบางส่วนที่เป็นสัตว์นำเข้าในออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคลิฟอร์เนีย ฟลอริดา และเทกซัส ชอบอาศัยอยู่ตามพื้นที่ลาดเอียงเล็กน้อย หรือตามพื้นที่เชิงเขาที่เป็นหลั่นไม่ชันนัก พบในป่าหลายประเภทหลายระดับความสูงตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงภูเขาสูง ป่าบึง ป่าไม้แคระ ป่าสน ป่าเบญจพรรณ ป่าดิบ มักพบว่ากวางป่าชอบป่าไม่ไกลจากแหล่งการเกษตรของมนุษย์ ในบางพื้นที่อาจมีการย้ายถิ่นตามฤดูกาล เช่นย้ายลงมาในที่ต่ำกว่าในฤดูร้อนซึ่งมีร่มไม้มากกว่าในฤดูหนาว
กวางป่าหากินตอนกลางคืนเป็นส่วนใหญ่ กินใบไม้ ผลไม้ หญ้า หัวพืช ยอดอ่อน ตอนกลางวันจะพักผ่อนอยู่ในป่าทึบ ว่ายน้ำเก่งและชอบแช่ปลัก ตัวผู้ทำสัญลักษณ์บอกอาณาเขตด้วยกลิ่นที่ผลิตจากต่อมกลิ่น
ฤดูผสมพันธุ์ของกวางป่าไม่แน่นอน แต่มักเกิดขึ้นราวเดือนกันยายนจนถึงเดือนมกราคม ในฤดูผสมพันธุ์ กวางตัวผู้จะก้าวร้าวต่อตัวผู้ด้วยกันมากและหวงถิ่น ตัวเมียจะจับกลุ่มกันเป็นฝูงที่อาจมีสมาชิกมากถึง 8 ตัว ตัวผู้จะผสมพันธุ์กับตัวเมียได้หลายตัวในแต่ละฤดู ตัวเมียตั้งท้องนาน 9 เดือน ออกลูกครั้งละตัว ลูกกวางแรกเกิดหนัก 10 กิโลกรัมและตื่นตัวมาก มีขนสีน้ำตาล มีจุดขาวทั่วตัว จุดขาวนี้จะจางลงจนหายไปหลังจากแรกเกิดไม่นาน กวางหนุ่มจะเริ่มมีเขาในปีแรกหรือปีที่สอง เขาในสองปีแรกจะมีขนาดเล็ก ต้องรอให้ถึงปีที่ 3 หรือ 4 จึงจะมีเขาที่สมบูรณ์ กวางสาวจะถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ราว 2 ปี ลูกกวางจะอยู่กับแม่ราว 1-2 ปี กวางป่าในธรรมชาติมีอายุขัยราว 20 ปี ส่วนในแหล่งเพาะเลี้ยงอาจอยู่ได้กว่า 26 ปี
ปัจจุบันประชากรของกวางป่ายังมีอยู่มาก ในอินเดียคาดว่ามีอยู่ราว 50,000 ตัว ไอยูซีเอ็นประเมินว่าอยู่ในระดับ เสี่ยงสูญพันธุ์ (VU) ไซเตสยังไม่จัดประเภทการคุ้มครอง ในเมืองไทยเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
เขียนโดย วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
เม่นใหญ่แผงคอยาว
เม่นเป็นสัตว์ฟันแทะเช่นเดียวกับหนู ความยาวตั้งแต่จมูกถึงโคนหาง 63-70 เซนติเมตร หนัก 3-7 กิโลกรัม สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ก็คือ มีหนามแหลมแข็งขึ้นบริเวณหลัง หนามของเม่นมีลักษณะกลวง โคนและปลายหนามสีขาว ตรงกลางสีดำ จมูกป้าน ไม่แหลมอย่างหนู หนวดยาวสีดำ ขนใต้คอสีขาว บริเวณหัวและส่วนด้านหน้าปกคลุมด้วยขนสั้นสีน้ำตาล
การป้องกันตัวของเม่นคือการวิ่งหนี ถ้าศัตรูไล่ตามมันจะหยุดอย่างทันที ถ้าศัตรูหยุดตามไม่ทันก็จะต้องชนเข้ากับหนาม หนามของเม่นหลุดง่าย จึงมักปักคาอยู่ตามปาก จมูก และอุ้งตีนศัตรู สร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
เม่นพบแถบภาคใต้ของไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย อาศัยได้ในป่าทุกชนิด ขุดโพรงอยู่ใต้ดิน ออกจากโพรงมาหากินเวลากลางคืนโดยลำพัง อาหารได้แก่รากไม้ เปลือกไม้ และผลไม้ที่ตกอยู่ตามพื้นป่า นอกจากนี้เม่นยังชอบแทะกระดูกสัตว์ด้วย
เม่นผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุได้ 2 ปี ตั้งท้องนาน 4 เดือนก็ออกลูก ลูกครอกหนึ่งมีประมาณ 1-3 ตัว ลูกเม่นแรกเกิดหนามยังอ่อนนิ่มอยู่ หลังจากนั้นจึงค่อยแข็งขึ้น
ในแหล่งเพาะเลี้ยง เม่นมีอายุได้ถึง 30 ปี
เขียนโดย วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
เสือปลา
เสือปลามีขนาดใหญ่กว่าแมวบ้าน รูปร่างอ้วนหนา บึกบึน ม่อต้อ ลักษณะภายนอกหลายอย่างคล้ายชะมด จึงมีชื่อชนิดว่า viverrine ซึ่งแปลว่า คล้ายชะมด หัวโตและกว้าง กระบอกปากค่อนข้างยาว ลวดลายคล้ายแมวดาวมาก ขนมันวาวหยาบสั้นสีเทาอมน้ำตาลหรือเทาอมมะกอก มีเส้นและจุดรี ๆ สีน้ำตาลพาดตามแนวยาวของลำตัวทั่วทั้งตัว มีเส้นพาดข้ามหัวจากหน้าผากไปถึงคอประมาณ 6-8 เส้น มีเส้นเด่นชัดสองเส้นลากจากคิ้วข้ามหัวไปจนถึงหัวไหล่ด้านหลังแล้วเริ่มแตกออกเป็นท่อน ช่วงล่างของลำตัวมีสีขาว ม่านตามีสีอมเขียว หูสั้นและกลม หลังหูมีสีดำและมีแต้มสีขาวเด่นชัดอยู่กลางใบ ขาสั้น เสือปลามีปลอกเล็บไม่สมบูรณ์ จึงหดเล็บได้ไม่หมด หางอ้วนและสั้น (ยาว 21-23 ซม.) หรือเพียงประมาณ 37% ของความยาวหัว-ลำตัว มีปล้องที่ไม่ครบรอบหลายปล้อง ปลายหางสีดำ ตัวผู้หนัก 11-12 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 6-7 กิโลกรัมเสือปลามีขน 2 ชั้น ซึ่งพัฒนามาเพื่อหากินกับน้ำโดยเฉพาะ ขนชั้นในสั้นเกรียนและแน่นมากจนน้ำซึมผ่านไม่ได้ ทำให้ตัวของเสือปลาแห้งและช่วยรักษาความอบอุ่นเอาไว้ในขณะที่ลงจับปลาในน้ำ ขนชั้นนอกจะยาวซึ่งเป็นชั้นที่มีลวดลายและมันวาว
- http://www.canuck.com/iseccan/where.html
- http://www.canuck.com/iseccan/fishing.html
- http://dialspace.dial.pipex.com/agarman/fishing.htm
- http://lynx.uio.no/catfolk/viver01.htm
เสือไฟ
แม้จะมีลายน้อย แต่รูปแบบของลายของเสือไฟก็ดูคล้ายกับลายของแมวดาว ลักษณะที่เด่นชัดคือ แต้มสีขาวกับขีดดำบริเวณแก้ม และเส้นจากหัวตาไปถึงกระหม่อม ด้านล่างลำตัวและขาด้านในมีสีขาว หางยาวประมาณ 1/3 จนถึง 1/2 ของความยาวลำตัว ปลายหางด้านล่างสีขาว หูสั้นกลม หลังหูสีดำและมีจุดขาวอยู่กลางหลังหู ตามักมีสีเขียวอมเทาหรือสีเหลืองอำพัน ปลายหางด้านใต้จะมีริ้วสีขาวเช่นเดียวกับที่พบในเสือไฟบอร์เนียว นักวิทยาศาสตร์บางคนเชื่อว่าสองชนิดนี้อาจมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน
ความยาวลำตัว 75-105 เซนติเมตร น้ำหนัก 8-15 กิโลกรัม ตัวผู้ใหญ่กว่าตัวเมียอย่างเห็นได้ชัด
เสือไฟมีคู่เหมือนชนิดหนึ่งคือ เสือไฟแอฟริกา (African Golden Cat, Profelis aurata) อาศัยอยู่ในป่าเขตศูนย์สูตรในทวีปแอฟริกา ในอดีตเคยมีความเชื่อว่า เสือไฟทั้งสองชนิดเป็นญาติสนิทกัน แต่ข้อมูลด้านพันธุกรรมบ่งชี้ว่าเสือไฟและเสือไฟแอฟริกามีสายเลือดห่างกันมาก ญาติสนิทที่สุดของเสือไฟคือแมวแดงบอร์เนียว (Bornean Bay Cat, Catopuma badia) อาศัยอยู่ในป่าทึบของเกาะบอร์เนียว คาดว่าเสือไฟและแมวแดงบอร์เนียวมีบรรพบุรุษร่วมกันเมื่อ 4.9 ถึง 5.3 ล้านปีก่อน
- http://lynx.uio.no/catfolk/temmin01.htm
- http://www.canuck.com/iseccan/asngld.html
- http://dialspace.dial.pipex.com/agarman/asiagold.htm
กระซู่
กระซู่เป็นสัตว์ตระกูลแรดที่มีขนาดเล็กที่สุดในจำนวน 5 ชนิดที่มีอยู่ รูปร่างหนาบึกบึน สีลำตัวน้ำตาลแดง ลักษณะเด่นที่ต่างจากพวกพ้องตระกูลแรดชนิดอื่นก็คือ มีขนสีน้ำตาลแดงยาวทั่วตัว บางครั้งฝรั่งก็เรียกว่า แรดขน สีขนจะเข้มขึ้นตามอายุ หนักราว 600-950 กิโลกรัม ความสูง 1-1.5 เมตร ความยาวลำตัว 2.0-3.0 เมตร หางยาวประมาณ 50 เซนติเมตร ขาสั้นม่อต้อ ริมฝีปากบนแหลมเป็นจงอยใช้หยิบจับได้
กระซู่เป็นแรดในเอเชียเพียงชนิดเดียวที่มีสองนอ นอหน้ายาวประมาณ 25-79 เซนติเมตร นอในอยู่หว่างคิ้วและเล็กกว่ามาก มักยาวไม่ถึง 10 เซนติเมตร ส่วนตัวเมียบางตัวอาจไม่มีนอใน หนังกระซู่สีน้ำตาลอมเทาเข้ม หนาเฉลี่ย 16 มิลลิเมตร หนังรอบตายับย่น มีรอยพับข้ามตัว 2 รอย คือที่หลังขาหน้าและหน้าขาหลัง ดูเหมือนหุ้มเกราะ
กระซู่มีสองชนิดย่อยคือ กระซู่ตะวันตก (Dicerorhinus sumatrensis sumatrensis) พบในเกาะสุมาตรา อินโดจีน และคาบสมุทรมลายู และ กระซู่ตะวันออก (Dicerorhinus sumatrensis harrissoni) อาศัยอยู่ในเกาะบอร์เนียว ก่อนหน้านี้เคยมีอีกชนิดย่อยหนึ่งคือ (Dicerorhinus sumatrensis lasiotus) พบในอินเดีย บังกลาเทศ และพม่า แต่ปัจจุบันคาดว่าสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว แม้จะยังมีความหวังว่าอาจยังมีเหลืออยู่ในพม่าก็ตาม
อาหารหลักของกระซู่คือ ใบไม้ กิ่งไม้ ยอดอ่อน ผลไม้ เช่น ทุเรียนป่า มะม่วงป่า ลูกไทร ไผ่ และพืชที่ขึ้นตามป่าชั้นสอง กินอาหารเฉลี่ยวันละ 50 กิโลกรัม กระซู่หากินโดยลำพังตอนเช้ามืดและหัวค่ำ เดินทางตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันจะนอนแช่ปลักหรือในบึงเพื่อพักผ่อน กระซู่มักทำปลักส่วนตัวโดยจะถางบริเวณในรัศมี 10-35 เมตรให้ราบเรียบเพื่อเป็นที่พักผ่อน กระซู่มีการย้ายถิ่นตามฤดูกาล โดยในฤดูฝนจะย้ายไปอยู่ที่สูง ส่วนในฤดูอื่นจะย้ายลงมาอยู่ในที่ต่ำ แม้จะดูอ้วนเทอะทะแต่กระซู่ปีนป่ายหน้าผาชันได้เก่ง และว่ายน้ำได้ดี เคยมีผู้พบเห็นกระซู่ว่ายในน้ำทะเลด้วย
กระซู่จำเป็นต้องลงกินโป่งอยู่เสมอ เคยพบว่าพื้นที่รอบโป่งแห่งหนึ่งมีจำนวนกระซู่มากถึง 13-14 ตัวต่อตารางกิโลเมตร ตัวผู้มีพื้นที่หากินประมาณ 30 ตารางกิโลเมตรและซ้อนเหลื่อมกันมาก ส่วนตัวเมียมีอาณาเขตเล็กกว่า เพียง 10-15 ตารางกิโลเมตรและซ้อนทับกับตัวเมียตัวอื่นเล็กน้อย ทั้งตัวผู้และตัวเมียทำเครื่องหมายประกาศอาณาเขตด้วยรอยครูด ขี้ ละอองเยี่ยว และรอยลู่ของไม้อ่อน
กระซู่อาศัยได้ในป่าหลายประเภท แต่ชอบที่สูงที่มีมอสปกคลุมและป่าฝนเขตร้อน มักพบใกล้แหล่งน้ำ ป่าชั้นสองที่มีความหนาแน่นพอสมควรก็ดึงดูดกระซู่ได้ นอกจากนี้ยังเคยพบว่ากระซู่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายฝั่งด้วย
ฤดูกาลผสมพันธุ์ไม่ทราบแน่ชัด แต่มักพบว่าลูกกระซู่มักเกิดช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงฝนตกชุก แม่กระซู่ตั้งท้องนาน 477 วัน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกกระซู่แรกเกิดหนัก 25 กิโลกรัม สูง 60 เซนติเมตรและยาว 90 เซนติเมตร มีขนแน่นและสีขนออกแดง ช่วงวันแรก ๆ ลูกกระซู่จะซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ทึบใกล้โป่งขณะที่แม่ออกไปหากิน พออายุได้ 2 เดือนจึงออกติดตามแม่ไปได้ หย่านมได้เมื่ออายุ 18 เดือน แต่จะยังอยู่กับแม่จนกระทั่งอายุ 2-3 ปี กระซู่วัยเด็กอาจอยู่ร่วมกัน แต่เมื่อโตแล้วก็จะแยกย้ายกันไปหากินตามลำพัง
ตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 4 ปี ส่วนตัวผู้ต้องรอไปถึงอายุ 7 ปี ตัวเมียมีระยะตั้งท้องแต่ละครั้งห่างกัน 3-4 ปี กระซู่ในแหล่งเพาะเลี้ยงมีอายุขัยประมาณ 35 ปี
กระซู่นับเป็นสัตว์ใหญ่ที่ถูกคุกคามมากที่สุดในโลก ในต้นศตวรรษที่ 20 กระซู่ยังพบอยู่ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่เทือกเขาหิมาลัย ภูฏาน อินเดียตะวันออกจนถึงมาเลเซีย สุมาตรา และบอร์เนียว กระซู่ตะวันตกในแผ่นดินใหญ่เหลือเพียงประมาณ 100 ตัว ส่วนใหญ่อยู่ในคาบสมุทรมลายู ในประเทศไทยอาจเหลือเพียง 10 ตัว และในเกาะสุมาตรามีจำนวนประมาณ 300 ตัว กระซู่ตะวันออกที่เคยพบทั่วเกาะบอร์เนียวเหลือเพียงประมาณ 60 ตัวในรัฐซาบาห์เท่านั้น ส่วนในรัฐซาราวักและกาลิมันตันไม่พบอีกแล้ว
กระซู่ประสบถูกคุกคามเนื่องจากป่าที่อยู่อาศัยถูกบุกรุกอย่างหนักจนเริ่มขาดจากกันเป็นผืนเล็กผืนน้อย ยิ่งกว่านั้น ทุกพื้นที่ที่พบกระซู่ล้วนแต่มีแนวโน้มประชากรลดลง ศัตรูหลักของกระซู่คือมนุษย์และเสือโคร่ง
โครงการขยายพันธุ์กระซู่ในแหล่งเพาะเลี้ยงที่ผ่านมาไม่ค่อยประสบความสำเร็จนัก นับตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา มีกระซู่ถูกจับมาจากป่าเพื่อมาเข้าโครงการนี้ 40 ตัว แต่ก็ตายไปถึง 19 ตัว การผสมเทียมก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ความล้มเหลวดังกล่าวน่าจะเป็นผลมาจากการขาดความรู้ด้านโภชนาการและการสืบพันธุ์ของกระซู่ ปัจจุบันเราทราบแล้วว่ากระซู่ต้องการพื้นที่กว้างกว่าเดิมและมีสภาพเป็นธรรมชาติมากกว่าที่เคยมีอยู่
แม้เวลาจะเหลือน้อยลงทุกที แต่ความพยายามที่จะรักษาเผ่าพันธุ์กระซู่ยังคงดำเนินต่อไป
ไอยูซีเอ็นจัดให้กระซู่อยู่ในสภาวะวิกฤต ไซเตสจัดไว้ในบัญชีหมายเลข 1
เขียนโดย วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
พังพอน
พังพอนธรรมดามีลักษณะตามแบบฉบับของพังพอนทั่วไป หัวแหลมเรียว หางยาว ขนแน่นหนา ยกเว้นเพียงขาช่วงล่าง ตัวผู้หนักประมาณ 650 กรัม ส่วนตัวเมียหนัก 430 กรัม
พังพอนธรรมดามีถิ่นฐานเดิมอยู่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่ปากีสถานจนถึงชายฝั่งทางภาคใต้ของจีน ทางใต้ไปจนถึงคาบสมุทรมลายู และเกาะชวา แต่มนุษย์ได้นำมันไปเลี้ยงในต่างถิ่นเพื่อช่วยปราบหนูและงู ปัจจุบันพังพอนชนิดนี้จึงแพร่พันธุ์ไปเกือบทั่วโลก ตั้งแต่ เวสอินดีส อเมริกาใต้ แคริบเบียน ญี่ปุ่น ยุโรป และหมู่เกาะในแปซิฟิก
หากินเวลากลางวัน นิสัยซุกซน ขี้เล่น ในแหล่งเพาะเลี้ยงมักชอบไซร้ขนให้แก่กันไม่ว่าจะเป็นเพศใด แต่ในธรรมชาติมีเพียงแม่กับลูกเท่านั้นที่มีพฤติกรรมเช่นนี้
พังพอนธรรมดามักหากินโดยลำพัง บางครั้งตัวผู้อาจมารวมกลุ่มกัน หรือแม้แต่ใช้โพรงร่วมกัน อย่างน้อยก็ในฤดูผสมพันธุ์ ตอนเช้ามักออกมาตากแดดเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น แต่เวลาอากาศร้อนมันจะคลายร้อนด้วยการเข้าร่มแล้วนอนแผ่เอาพุงแนบพื้นเย็น ๆ หากไม่พบพื้นดินที่ร่ม ก็จะพุ้ยหน้าดินออกไปเพื่อนอนทาบบนดินชั้นล่างซึ่งเย็นกว่า
อาหารหลักของพังพอนธรรมดาคือแมลง แต่บางครั้งก็กินสัตว์มีกระดูกสันหลังขนาดเล็ก และสามารถล่าสัตว์ที่ขนาดใหญ่กว่าตัวเองได้ เช่นกระต่ายป่าหรือแม้แต่ลูกกวาง
เช่นเดียวกับพังพอนส่วนใหญ่ พังพอนธรรมดามีชั้นเชิงการต่อสู้และจับเหยื่อแพรวพราว โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้อย่างงูพิษ พังพอนมักฆ่าเหยื่อที่เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังด้วยการกัดที่ท้ายทอย เมื่อต่อสู้กับศัตรูจะพองขนจนตัวดูใหญ่ขึ้น
แม่พังพอนธรรมดาตั้งท้องนาน 49 วัน ออกลูกครอกหนึ่ง 2 ตัว เคยพบมากถึง 5 ตัว ตัวผู้เข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ 4 เดือน
ขียนโดย วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
ช้างไทย
ช้างเอเชีย เป็นสัตว์บกที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย เป็นสัตว์ที่คุ้นตาคนไทยทุกคน มีความสัมพันธ์กับคนมาช้านาน กษัตริย์ในอดีตทรงช้างทำยุทธหัตถี การสร้างบ้านแปงเมืองก็ต้องมีช้างเป็นกำลังสำคัญ ทุกวันนี้เด็กทุกคนก็ต้องเคยร้องเพลง "ช้าง" มาก่อน และในปัจจุบันก็คงเห็นง่ายขึ้นเพราะช้างเริ่มเข้ามาหากินในเมือง
เอกลักษณ์ของช้างที่รู้จักกันดีก็คือ อวัยวะพิเศษสองอย่าง นั่นคืองวง และงา งวงเป็นจมูกและริมฝีปากบนที่พัฒนาให้ยื่นยาวออกมาเป็นอวัยวะอเนกประสงค์ ใช้หยิบจับสิ่งของ เปล่งเสียง สูบน้ำ มีกำลังมหาศาล ส่วนงาเป็นเขี้ยวที่พัฒนาให้ใหญ่ขึ้นใช้เป็นอาวุธและงัดยกสิ่งของได้ ช้างเอเชียตัวผู้เท่านั้นที่มีงาใหญ่ ส่วนตัวเมียมีงาเล็กมาก เรียกว่า "ขนาย" ช้างตัวผู้บางตัวก็ไม่มีงา เรียกว่า "ช้างสีดอ"
ช้างในโลกมีสองชนิด นอกจากช้างเอเชียแล้วยังมีช้างแอฟริกาที่อาศัยอยู่ในทวีปแอฟริกา ช้างสองชนิดนี้มีลักษณะภายนอกคล้ายกัน แตกต่างกันเพียงรายละเอียด จุดแตกต่างที่สังเกตได้ชัดเจนคือ ช้างเอเชียตัวเล็กกว่า หูเล็กกว่า หัวมีสองโหนก และหลังโก่ง ช้างเอเชียมีน้ำหนักราว 3-5 ตัน
ช้างกินอาหารวันละ 150 กิโลกรัม อาหารหลักของช้างคือหญ้า นอกจากหญ้ายังกินยอดไม้ เปลือกไม้ ผลไม้ บางครั้งลูกช้างอาจกินขี้ของแม่ตัวเองเพื่อเพิ่มสารอาหารบางชนิด
เขียนโดย วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
หมาใน
หมาในพบตั้งแต่เอเชียตะวันออก อินเดีย จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลงไปจนถึงเกาะชวา ทางเหนือพบสูงสุดถึงระดับเส้นละติจูด 54 องศา
หมาในปรับตัวเข้ากับพื้นที่ได้หลายประเภท ตั้งแต่ร้อนจัดจนถึงเย็นจัด ชอบอาศัยอยู่ในป่าทึบบนภูเขา ป่าอัลไพน์ ป่าไม้พุ่ม จนถึงป่าเปิดใกล้ทุ่งหญ้า แต่ไม่เคยพบในทะเลทราย อาณาเขตของหมาในกว้างประมาณ 40-84 ตารางกิโลเมตร หมาในทำเครื่องหมายบอกอาณาเขตด้วยเยี่ยวและขี้ แต่ช่วงเวลาที่ฝูงมีสมาชิกตัวน้อย ขนาดของพื้นที่หากินจะเล็กลง
หมาในมีพฤติกรรมหลายอย่างคล้ายหมาในแอฟริกา (African wild dog) ทั้งการหากินและสภาพสังคม หมาในอาศัยอยู่เป็นฝูง ๆ หนึ่งราว 5-12 ตัว บางฝูงอาจใหญ่มากถึงกว่า 25 ตัว ประกอบด้วยสมาชิกครอบครัวเดียวกัน สมาชิกในฝูงมักมีตัวผู้มากกว่าตัวเมียสองเท่า และฝูงส่วนใหญ่ก็มักมีตัวเมียที่เป็นแม่หมาเพียงตัวเดียว การวิวาทหรือรังแกกันในฝูงเกิดน้อยมากเนื่องจากสังคมหมาในถือระบบลำดับชั้นมาก หากินตอนกลางวัน เช้ามืด และพลบค่ำเป็นหลัก หากินตอนกลางคืนบ้างแต่ไม่บ่อยนัก หมาในล่าสัตว์ได้หลายชนิด เช่นกวางดาว กวางป่า ไอเบ็กซ์ แกะภูเขา แกะป่า กวางขนาดเล็ก หนู กระต่าย หมาในล่าสัตว์ใหญ่ด้วยการทำงานเป็นทีม เมื่อจับเหยื่อได้ก็จะเริ่มกินเหยื่อด้วยการกระชากลากไส้ทั้งเป็น ส่วนที่ถูกเลือกกินก่อนมักเป็นหัวใจ ตับ ลูกตา สะโพก และลูกในท้อง บางครั้งก็ล่าเหยื่อโดยลำพังได้ โดยเพราะเมื่อเหยื่อมีขนาดเล็กอย่างกระต่าย หมาในสามารถล่าเหยื่อที่หนักกว่าตัวเองถึง 10 เท่าได้ หมาในเพียงสองสามตัว ก็ล่ากวางที่หนักถึง 50 กิโลได้ภายในเวลาไม่ถึงสองนาที มักต้อนเหยื่อให้ลงน้ำ กินซากเหลือจากเสือบ้างแต่ไม่บ่อยนัก หมาในหวงเหยื่อมาก เคยพบว่าฆ่าเสือโคร่งและหมีได้ อย่างก็ตาม หมาในไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวกับคนและมักเลี่ยงคนเสมอ หมาในชอบน้ำมาก มักลงน้ำหลังจากกินอาหาร และมักนั่งแช่น้ำตื้น ๆ ไม่ว่าอากาศจะร้อนหรือเย็น ชอบส่ายหางเมื่อดีใจเช่นเดียวกับหมาบ้าน
หมาในเปล่งเสียงได้หลายแบบ นอกจากเสียงเหมือนผิวปากซึ่งใช้ในการสื่อสารในฝูงเป็นหลักแล้ว ยังทำเสียงเมี้ยวเหมือนลูกแมว เสียงกรีดร้อง เสียงซู่ซี่เบา ๆ หรือแม้แต่เสียงกุ๊ก ๆ ได้ด้วย
หมาในตัวเมียเป็นสัดราวเดือนกันยายนจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ตั้งท้องนานประมาณ 60-62 วัน ออกลูกครั้งละ 4-10 ตัว เคยพบมากที่สุดถึง 12 ตัว มักออกลูกในรังของสัตว์อื่นที่ทิ้งไปแล้ว เช่นรังเม่น แม่หมาในมีสัมพันธ์ระหว่างแม่หมาด้วยกันอย่างใกล้ชิด เคยพบว่ามีการใช้รังร่วมกันด้วย สมาชิกทุกตัวในฝูงจะช่วยกันดูแลเด็กและป้อนอาหารให้ หมาในผู้ใหญ่จะนำอาหารมาสู่เด็กด้วยการขย้อนออกมาให้เด็ก ๆ กิน สมาชิกผู้ใหญ่บางตัวอาจผู้เฝ้ารังเพื่อดูแลเด็ก ๆ ขณะที่ตัวอื่นออกไปเหยื่อด้วย ลูกหมาในโตเร็วมาก ลูกหมาจะเริ่มออกจากบริเวณรังเมื่ออายุได้ 10 สัปดาห์ ระหว่างที่ลูกหมาเติบโต จะมีการประลองกำลังกันเพื่อจัดลำดับชั้นในฝูง การต่อสู้เพื่อจัดอันดับนี้จะสิ้นสุดลงเมื่ออายุได้ราว 7 เดือน ซึ่งเป็นวัยที่เริ่มออกไปล่าเหยื่อร่วมกับฝูงได้ หมาในเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวเมื่ออายุได้ 1 ปี ซึ่งหลังจากนั้นอาจแยกตัวออกไปหรืออาจยังอยู่กับฝูงก็ได้ หมาในสาวในแหล่งเพาะเลี้ยงจะเริ่มให้กำเนิดลูกได้เมื่ออายุได้ 2 ปี แต่ในธรรมชาติต้องรอให้ถึงปีที่ 3 จึงจะให้กำเนิดลูกได้
ในธรรมชาติ หมาในมีอายุขัยประมาณ 10 ปี ในแหล่งเพาะเลี้ยงอาจอยู่ได้นานถึง 16 ปี
หมาในถูกคุกคามจากการที่สัตว์เหยื่อลดจำนวนลง ถิ่นที่อยู่อาศัยถูกทำลายและจากการล่า ในอดีตก็เคยมีการฆ่าเพื่อเอาหนัง หมาในมักถูกกับดัก วางยาเบื่อ ถูกยิง หรือแม้แต่รังเลี้ยงลูกก็ถูกทำลาย การที่มนุษย์บุกรุกเข้าไปตั้งถิ่นฐานในป่าและนำหมาบ้านเข้าไปเลี้ยงด้วย ก็อาจทำให้โรคติดต่อบางอย่างแพร่ไปยังประชากรหมาในได้ เช่นในอินเดีย โรคจำพวกหัดหมาและโรคพิษสุนัขบ้าได้กวาดล้างประชากรหมาในไปเป็นจำนวนมาก ปัจจุบันหมาในได้รับการคุ้มครองในหลายประเทศ แต่ประชากรหมาในก็ยังน้อยตลอดเขตกระจายพันธุ์ คาดว่าเหลืออยู่ 2,500 ตัว
ไอยูซีเอ็นประเมินสถานภาพของหมาในว่าอยู่ในระดับใกล้สูญพันธุ์ (EN) C2a(i) ไซเตสจัดอยู่ในบัญชีหมายเลข 2 ไทยจัดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง
เขียนโดย วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)